กระทรวงสาธารณสุข ผนึกกำลังกับ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ โดยมี นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ข้อตกลงความร่วมมือเดินหน้าเฟส 3 “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐานและระบบบูรณาการข้อมูลสารสนเทศและ Big Data ด้านสาธารณสุข” รองรับภูมิทัศน์ใหม่ด้านความมั่นคงทางสุขภาพและโลกที่เปลี่ยนแปลง
ความเป็นมาของโครงการ
ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ความร่วมมือของ 3 องค์กร และภาคีพันธมิตรในโครงการนี้จะเป็นแรงพลังพัฒนาการบริหารจัดการเฮลท์แคร์และเฮลท์เทคของประเทศไทย ด้วยนวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาประชาชนคนไทยไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี และเสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ เช่น การเกิดโรคอุบัติใหม่และภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของเอเซีย และอันดับ 6 ของโลกในด้านความมั่นคงทางสุขภาพ (Health Security) จากการสำรวจ 195 ประเทศ ท่ามกลางภูมิทัศน์ใหม่ของคุณภาพชีวิตยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเกิดโรคอุบัติใหม่เชื้อไวรัสโคโรน่า ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตและธุรกิจอุตสาหกรรม ภารกิจโรงพยาบาลและการสาธารณสุขในประเทศไทยไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาความก้าวหน้าเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health Security) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานนำไปสู่การบริหารจัดการและบริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชน ดังนั้น “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐานและระบบบูรณาการข้อมูลสารสนเทศและแนวทางการริเริ่ม Big Data ด้านสาธารณสุขสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทย” จะมีบทบาทสำคัญต่อประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินการแบ่งเป็น 3 เฟส (เฟสละ 1 ปี)
โดยโครงการได้เริ่มดำเนินการเฟสที่ 1 ตั้งแต่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559 ที่มาของการวิจัยเกิดจากคำถามวิจัยที่ว่ายาในประเทศไทยกระจายไปอยู่ที่ไหน (Track) ตรวจสอบย้อนกลับได้หรือไม่ (Traceability) รวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างไร (Big Data) การจะตอบคำถามเหล่านี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการดำเนินการพัฒนาระบบที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานสุขภาพทั้งระบบ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศด้านยาและเวชภัณฑ์ได้ และเกิดเป็นโครงสร้างทั้งระบบ ดังรูป
ผลสำเร็จของโครงการวิจัย เฟสที่ 2
รศ.ดร.ดวงพรรณ ศฤงคารินทร์ หัวหน้าศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการดำเนินการระยะที่ 2 โดยผลการวิจัยที่แล้วเสร็จ มีดังนี้
1. งานวิจัยโครงการการพัฒนาแผนแม่บทระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารภาคสาธารณสุขของประเทศ ได้ข้อเสนอแนะและลำดับความสำคัญของการขับเคลื่อน eHealth ในองค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน คือการกำกับดูแล (Governance) การวางฐานราก (Foundations) การแก้ปัญหา (eHealth Solutions) และกิจกรรมขับเคลื่อน เป็นแนวทางการดำเนินนโยบายสาธารณะด้านระบบสุขภาพ
2. งานวิจัยพัฒนาระบบฐานข้อมูลยาและจัดทำโปรแกรม บริหารและจัดทำข้อมูลยาสำหรับประชาชน (Patient Information Leaflet Management System : PILMS) แบ่งเป็นดำเนินการพัฒนา 3 ส่วนด้วยกัน คือ
2.1. การพัฒนาระบบฐานข้อมูลยาและเวชภัณฑ์ (National Medicinal Product Catalogue Database : NMPCD) ได้ดำเนินการพัฒนาฐานข้อมูลให้สามารถสะสมทุกรหัสยาได้มากกว่า 150,000 รายการ และในระยะที่ 2 สามารถผูกสัมพันธ์ยาเพื่อการค้นหารหัสยาได้ทั้งสิ้น 11 คู่ เป็นจำนวนมากกว่า 50,000 รายการ
2.2. การพัฒนาฐานโปรแกรมบริหารและจัดทำข้อมูลยาสำหรับประชาชน ได้ดำเนินการเพิ่มเติมข้อมูลยาสำหรับประชาชนจากเดิมได้ทำการสะสมรหัสไว้ 200 รายการ ในระยะที่ 2 ได้ดำเนินการเพิ่มเติม 53 รายการ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 253 รายการ
2.3. โปรแกรมบริหารจัดการร้านยาได้พัฒนาเป็นโปรแกรมที่มีระบบการจัดการคลังสินค้าทั้งส่วนหน้าร้านและหลังร้าน โดยรองรับการจัดซื้อ การจัดการซัพพลายเออร์ การจัดการสินค้า การจัดตารางเวร และการจัดการผู้ใช้
3. การพัฒนาโปรแกรมบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ให้กับโรงพยาบาล หรือที่เรียกว่า the Material Management Information System (MMIS) ซึ่งจะช่วยทำให้การจัดการด้านโลจิสติกส์ยาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ดำเนินการขยายผลผู้ใช้ โดยมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 18 แห่ง จัดทำคู่มือการใช้งาน MMIS และดำเนินการจัดทำมาตรฐานซอฟแวร์การบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์
4. ดำเนินการพัฒนาระบบต้นแบบสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) ระหว่างโรงพยาบาลและผู้จัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยในการติดต่อซื้อขายระหว่างโรงพยาบาลกับผู้จัดจำหน่ายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
5. ระบบต้นแบบการติดตามและสอบกลับยาและเวชภัณฑ์ (Traceability) ที่ติดตามและสอบกลับได้ในระดับล็อตการผลิตจนถึงผู้ป่วยทั้งในระดับประเทศและจังหวัด
เดินหน้าโครงการระยะที่ 3 พัฒนาเชื่อมต่อ BI และ Big Data สาธารณสุขของประเทศ
สำหรับการดำเนินงานในระยะที่ 3 กำลังดำเนินการวิจัยและพัฒนาระบบตามแผนงาน โดยมุ่งเป้าหมายยกระดับการสาธารณสุขของประเทศอย่างบูรณาการทั้งระบบ ตอบรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ดังนี้
1) การพัฒนาระบบสารสนเทศเชิงลึกด้านยาและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อสนับสนุนการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ทางยาและเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (Business Intelligence: BI)
2) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลยาและเวชภัณฑ์เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้น
3) พัฒนาระบบเชื่อมต่อโปรแกรมการบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ (Material Management Information System: MMIS) กับระบบ BI
4) ศึกษาวิจัยและออกแบบเพื่อพัฒนาระบบการจัดการคลังยาของโรงพยาบาลโดยผู้จัดจำหน่ายผ่านระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านสาธารณสุข
ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพและสาธารณสุขไทย
นายแพทย์ ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โครงการนี้ หากดำเนินการสำเร็จจะส่งผลดีต่อระดับประเทศและหลายภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการนำระบบไปใช้ 5 กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
กลุ่มเป้าหมาย |
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำระบบไปใช้ |
1. โรงพยาบาล |
- ทำให้เกิดการลดขั้นตอนในการทำงานมากขึ้น - ช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ - สามารถดึงข้อมูลการจัดการยาและเวชภัณฑ์ มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ได้หลากหลาย เช่น การกระจายตัวของยาและเวชภัณฑ์ การวางแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการของโรงพยาบาล เป็นต้น |
2. ผู้ปฏิบัติงานจริงในโรงพยาบาล |
- ช่วยบริหารงานคงคลังและระบบจัดซื้อในโรงพยาบาลได้ |
3. กระทรวงสาธารณสุข |
- ได้รับข้อมูลที่แต่ละโรงพยาบาลต้องนำส่งรายงานสู่ส่วนกลางอย่างถูกต้อง และน่าเชื่อถือ ทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงได้อีกด้วย |
4. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นต้น |
- ได้ระบบฐานข้อมูลยาและเวชภัณฑ์ในการใช้งาน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการแปลงรหัสยาจากรหัสใดรหัสหนึ่ง เป็นรหัสหนึ่ง เนื่องจากเมื่อป้อนรหัสใด ๆ เข้าไปแล้วจะปรากฏรหัสยาที่ต้องการ และสามารถนำไปใช้งานได้ทันที - สามารถติดตามตรวจสอบการเคลื่อนไหวของยาและเวชภัณฑ์ จากฐานข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์และดำเนินการในด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาสาธารณสุขต่อไป |
5. ภาคเอกชนที่จัดหน่ายสินค้ายาและเวชภัณฑ์ |
- การจัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ให้กับโรงพยาบาลสามารถทำได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น |
___________________________________________
PR AGENCY : บ.เบรนเอเซีย คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (BrainAsia Communication)
TEL: ประภาพรรณ 081-899-3599, สุวพัชร 086-341-6567, E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. , www.brainasia.co.th
Faculty of Engineering, Mahidol University. (Mahidol, Engineering.)
25/25 Phuttamonthon 4 Road, Salaya, Phuttamonthon, Nakhon Pathom 73170 Thailand
Tel: +66 2889 2138
Fax: +66 2441 9731
Email: engineering@mahidol.ac.th