ประวัติภาควิชา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้งสืบเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลจึงมีนโยบาย ที่จะสนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน ที่มีโครงสร้าง ปัจจัยพื้นฐาน และความพร้อม เปิดสอนในสาขาวิชาด้านวิศวกรรมศาสตร์
ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยจึงพิจารณาว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมีความพร้อม ที่จะเปิดสอนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ จึงได้เริ่มดำเนินการเป็นลำดับดังนี้
- พฤศจิกายน 2531 ศึกษาความเป็นไปได้ ในการจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์
- 18 มกราคม 2532 จัดทำรายละเอียด โครงการจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ และร่างหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต 4 สาขา คือ วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมอุตสาหการ
เริ่มแรก (พ.ศ. 2533) หลักสูตรวิศวกรรมอุตสาหการ ถือกำเนิดขึ้นตามข้อกำหนดของตลาดแรงงานในอุตสาหกรรมในขณะนั้น ซึ่งเน้นไปที่วิศวกรรมอุตสาหการขั้นพื้นฐานและการจัดการอุตสาหกรรมโดยมีความเข้าใจในเทคโนโลยีการผลิตในระดับปานกลาง เพื่อรองรับการขาดแคลนวิศวกรอุตสาหการในอุตสาหกรรมไทย อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมไทยได้รับการพัฒนาและเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งจนเป็นระบบการผลิตแบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2018 ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการได้รับการตรวจสอบและออกแบบโดยอาศัยหลักสูตรวิศวกรรมสหวิทยาการในสาขาการผลิตดิจิทัลและการจัดการอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ด้วยเหตุนี้ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ จึงดำเนินการวิจัยและให้การฝึกอบรมด้านวิศวกรรมอุตสาหการ และสำรวจความสัมพันธ์กับอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ 4 อันดับแรก เช่น อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและการแพทย์ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม, การผลิตแบบดิจิทัล, การจัดการห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่, โลจิสติกส์, การขนส่งและระบบรถไฟ เป้าหมายสูงสุดของภาควิชา คือ การสร้างวิศวกรอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรม ทันสมัย และเป็นระบบดิจิทัลที่มีศักยภาพในการทำงานในชุมชนโลก ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการเปิดสอนหลักสูตรระดับชาติและนานาชาติดังต่อไปนี้:
- วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ (หลักสูตรภาษาไทย)
- วิศวกรรมศาตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการและการผลิต วิชาเอกวิศวกรรมผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม (หลักสูตรนานาชาติ)
- วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอุตสาหการสมาร์ต (หลักสูตรภาคปกติและภาคพิเศษ)
- ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต การจัดการโลจิสติกส์และวิศวกรรม (หลักสูตรนานาชาติ)
ปัจจุบันภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการมีคณาจารย์ 18 คน และบุคลากรสายสนับสนุน 13 คน